1. พระกริ่งอุปคุต เขมร เนื้อสัมฤทธิ์ พิมพ์บัวตุ่ม แถมพระ1องค์)
พระแท้ ทั่วโลก รับประกันได้ของตรงรูป พระตรงองค์ และหากวันไหน ขัดสน ต้องการขายคืน ยินดีรับซื้อครับ ขอพระอยู่สภาพเดิมนะครับ แบ่งๆ กันบูชา แบ่งๆ บุญกันไปเสริม ร่ํารวยๆ ครับ พระกริ่งเขมร มีแหล่งกําเนิดที่ประเทศกัมพูชา อายุการสร้างในราวพุทธศตวรรษที่ 16 สมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 7 ซึ่งเขมรได้รับเอาอิทธิพลของพุทธศาสนาลัทธิมหายานและศาสนาพราหมณ์เข้ามา จึงริเริ่มจัดสร้าง พระกริ่ง จากเค้าเรื่องใน สมณาวตาร ความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ โดยจําลองเป็นรูปสมมุติของพระนารายณ์อวตารปางหนึ่งที่ลงมาช่วยเหลือมนุษย์ในยามที่เกิดยุคเข็ญ ด้วยความที่เค้าพระพักตร์ออกไปทางเขมร จึงขนานนามว่า พระกริ่งเขมร นอกจากนี้ยังไปคล้ายกับแมลงชนิดหนึ่งคือ ตั๊กแตน จึงเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า พระกริ่งหน้าตั๊กแตน ซึ่งมีการจัดสร้างต่อกันมาในหลายยุคหลายสมัย ที่มีค่านิยมสูงจะเป็น ยุคต้น ที่มีการสร้างมาราวๆ 700-800 ปีขึ้นไปเนื้อองค์พระจะเป็นเนื้อสัมฤทธิ์ บางองค์ที่แก่เงินมากๆ จะมีสนิมขึ้นจนเนื้อกลับเป็นสีดํา โดยมีสนิมหยกกับสนิมแดงขึ้นอยู่โดยทั่วไป และเนื่องจากเป็นพระที่บรรจุกรุเป็นเวลานาน ถ้าไม่ผ่านการขัดล้างอย่างหนัก ก็จะมีผิวดินขี้กรุติดแน่นตามซอกลึกๆ ขององค์พระ รวมทั้งคราบเบ้าผิวไฟที่เห็นอยู่ใต้ผิวลงไปอีกชั้นหนึ่งวิธีการสร้างก็แตกต่างจากพระกริ่งอื่นๆ คือใช้กรรมวิธีการสร้างแบบหล่อโบราณ และเป็นการปั้นพิมพ์ทีละองค์ แล้วจึงใช้ดินขี้วัวพอก ซึ่งถือเป็นข้อสังเกตสําคัญ ถ้านําพระกริ่งสององค์มาเปรียบแล้วเหมือนกันทุกอย่าง แสดงว่าต้องเก๊องค์หนึ่งหรือไม่ก็เก๊ทั้งสององค์ ลักษณะการบรรจุกริ่งก็เป็นแบบกริ่งในตัว แต่รุ่นหลังๆ จะใช้วิธีบรรจุเม็ดกริ่งแบบในตัวมากกว่าเพราะกรรมวิธีสะดวกกว่าพุทธลักษณะโดยทั่วไปที่เหมือนกันคือ องค์พระประทับนั่งเหนืออาสนะฐานบัว 2 ชั้น พระเศียรค่อนข้างกลม เม็ดพระศกเป็นตุ่มนูนวางเรียงปกคลุมลงมาด้านหน้ามาก พระนาสิกยื่นออกมามาก พระเนตรเป็นตอกเป็นเส้นลึกเฉียงขึ้นไปทางด้านบนแบบตาจีน ไม่ปรากฏลายละเอียดแสดงถึงพระโอษฐ์ และพระขนงพระกรรณลักษณะเป็นเส้นวางแปะอยู่บนเม็ดพระศกและยาวลงมาจรดพระอังสา พระศอมีสร้อยลูกประคําที่ค่อนข้างใหญ่ เป็นเม็ดกลมบ้าง ตุ่มแหลมบ้าง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์สําคัญประการหนึ่งเนื่องจากเป็นการสร้างแบบปั้นหุ่นเทียนที่ละองค์ องค์พระจึงมีขนาดใหญ่เล็กแตกต่างกันไปไม่มากก็น้อย และมีพุทธลักษณะไม่เหมือนกันเป๊ะ เช่น การวางพระหัตถ์ ก็มีทั้งปางสมาธิ ปางมารวิชัย และปางมารวิชัยกลับด้าน ปางสะดุ้งกลับ), การถือของในพระหัตถ์ ก็มีจะทั้งแบบไม่ถืออะไรเลย ถือดอกบัวบ้าง ถือหม้อน้ํามนต์บ้าง ถือหอยสังข์บ้าง ฯลฯ, ตามคตินิยมของผู้สร้างส่วนมากจะถือดอกบัว ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะประทับนั่งสมาธิเพชร อยู่เหนือวัชรอาสน์ยกเป็นฐานสูงสองชั้น ความโดดเด่นอีกประการ คือ ที่เม็ดพระศก ลูกประคํา หรือเม็ดบัวที่ฐานนั้น จะเป็นแบบเม็ดปั้นจนเป็นก้อนกลมนูนขึ้นมาอย่างชัดเจน ส่วนที่ใต้ฐานจะมียันต์ โอม ที่มีลักษณะคล้ายกับเลขหนึ่งไทย ๑ ลักษณะการปั้นเป็นเส้นแบบขนมจีนและขดวางลงไปที่หุ่นเทียน มีความหมายถึงคําว่า โอม บางองค์เป็นฐานเรียบๆ ไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ ก็มี ฐานบัวก็จะมีลักษณะแตกต่างกัน อันเป็นการแบ่งแยกเป็นพิมพ์ต่างๆ พิมพ์ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย มีอาทิ-พิมพ์บัวฟองมัน มีเอกลักษณ์คือ ที่ฐานบัวด้านหน้าจะพบบัวฟองมันปรากฏอยู่ ส่วนทางด้านหลังอาจเป็นบัวขีด หรือบัวฟันปลาผสมอยู่ก็เป็นได้-พิมพ์บัวตุ่ม บัวย้อย บัวที่ฐานด้านหน้า แทนที่จะเป็น บัวฟองมัน กลับเป็นตุ่มกลมเล็กๆ เรียงรายตั้งแต่ 7-9 เม็ด เรียกว่า บัวตุ่ม ส่วน บัวย้อย นั้น หมายถึง บัวตุ่มเม็ดริมทั้งสองข้างจะมีบัวตุ่มอีกดอกหนึ่งห้อยย้อยลงมาเพิ่มเติม-พิมพ์บัวเม็ดมะยม จะเหมือนกับ พิมพ์บัวตุ่ม บัวย้อย ทุกประการ แต่ที่เม็ดบัวตุ่มและบัวย้อย จะมีรอยบากลึกเป็นรูปกากบาททุกดอก ส่วนด้านหลังอาจเป็นบัวฟันปลา บัวขีด หรือบัวประเภทอื่นก็ได้-พิมพ์บัวขีด ฐานด้านหน้าจะไม่ปรากฏเป็นรูปดอกบัว หากแต่จะเป็นรอยขีดเป็นเส้นลึกลงไปในเนื้อ ลักษณะของการขีดเป็นเส้นทแยงขึ้นลงสลับไปมารอบอาสนะ-พิมพ์บัวฟันปลา เป็นพิมพ์ที่นิยมสร้างกันมากและพบมากกว่าพิมพ์อื่นๆ มีจุดสังเกตคือ จะมีรูปสามเหลี่ยมเหมือนฟันปลาเรียงรอบฐาน ซึ่งมีทั้งแบบบัวสองชั้นและบัวชั้นเดียวการพิจารณาพระกริ่งตั๊กแตน เนื่องจากมีความแตกต่างทางพุทธลักษณะพิมพ์ทรง จึงต้องพิจารณาจากเนื้อหา ความเก่า คราบสนิมขุม ฯลฯ นอกจากนี้ ในยุคต้นๆ ให้สังเกตช่วงแขนจะย้อยออกไปทางด้านหลัง ถ้าแขนสั้นๆ ลอยๆ ไม่ย้อยมักจะสมัยไม่ค่อยจัดนัก ส่วนเม็ดพระศกนั้นยิ่งเก่าจะยิ่งมีลักษณะเม็ดหนาใหญ่ ใช้เป็นข้อพิจารณาได้อีกประการหนึ่งครับผม